สแตนเลส 304 เป็นหนึ่งในเกรดสแตนเลสออสเทนิติกที่ใช้กัน

สแตนเลส 304 เมื่อพูดถึงวัสดุที่มีความทนทาน แข็งแรง และดูเงางาม สแตนเลสมักเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่หลายคนรู้จัก โดยเฉพาะในวงการก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องครัว ไปจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และในบรรดาสแตนเลสหลายเกรด ถือเป็นเกรดที่นิยมใช้มากที่สุดทั่วโลก เนื่องจากคุณสมบัติที่โดดเด่น ทั้งในด้านความทนทาน การป้องกันสนิม และความสวยงาม บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ อย่างเจาะลึก ตั้งแต่ที่มาของวัสดุ ส่วนผสมทางเคมี จุดเด่น จุดด้อย วิธีการใช้งาน รวมไปถึงการดูแลรักษาและเปรียบเทียบกับสแตนเลสเกรดอื่น ๆ เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้วัสดุนี้ได้อย่างถูกต้องและคุ้มค่าที่สุด

สแตนเลสคืออะไร?

สแตนเลส (Stainless Steel) คือโลหะผสมที่มีส่วนประกอบหลักคือเหล็ก (Iron) และมีการเติมธาตุโครเมียม (Chromium) อย่างน้อย 10.5% โดยน้ำหนัก เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการต้านทานการกัดกร่อนหรือการเกิดสนิม นอกจากโครเมียมแล้ว ยังมีธาตุอื่น ๆ ที่นิยมเติมลงไป เช่น นิกเกิล (Nickel), โมลิบดีนัม (Molybdenum), แมงกานีส (Manganese), และคาร์บอน (Carbon) เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของโลหะในด้านต่างๆ เช่น ความแข็ง ความเหนียว การขึ้นรูป หรือการเชื่อม

 

สแตนเลส 304

ส่วนประกอบทางเคมีของ สแตนเลส 304

สแตนเลส 304 จัดอยู่ในกลุ่มออสเทนนิติก (Austenitic Stainless Steel) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีนิกเกิลเป็นส่วนประกอบหลัก โดยมีส่วนประกอบทางเคมีโดยประมาณ ดังนี้:

  • โครเมียม (Cr): 18-20%
  • นิกเกิล (Ni): 8-10.5%
  • คาร์บอน (C): สูงสุดไม่เกิน 0.08%
  • แมงกานีส (Mn): สูงสุด 2%
  • ซิลิกอน (Si): สูงสุด 1%
  • ฟอสฟอรัส (P): สูงสุด 0.045%
  • กำมะถัน (S): สูงสุด 0.03%
  • เหล็ก (Fe): ส่วนที่เหลือ

 

คุณสมบัติเด่นของสแตนเลส 304

ต้านทานการกัดกร่อนสูง มีความต้านทานต่อการเกิดสนิมจากความชื้น น้ำ หรือสารเคมีในระดับปานกลางถึงสูง ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั้งภายในและภายนอกอาคาร สามารถขึ้นรูปได้ง่ายด้วยโครงสร้างออสเทนนิติก ทำให้สามารถดัด พับ ปั๊ม หรือรีดได้ง่ายโดยไม่เปราะหรือแตกร้าว สามารถเชื่อมได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมด้วยไฟฟ้า TIG MIG หรือแม้แต่เลเซอร์   ก็สามารถเชื่อมได้โดยไม่ต้องใช้ความร้อนพิเศษ ทนต่ออุณหภูมิ ทนได้ทั้งความเย็นจัดและความร้อนสูงถึงประมาณ 870°C โดยไม่เสียคุณสมบัติ ไม่เป็นแม่เหล็ก (Non-Magnetic) ในสภาพปกติ  ไม่มีคุณสมบัติแม่เหล็ก ซึ่งเป็นที่ต้องการในบางอุตสาหกรรม เช่น อิเล็กทรอนิกส์ หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ การใช้งานของ  ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลาย  ถูกนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง เช่น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เช่น ถังหมัก ถังเก็บนม อ่างล้าง อุปกรณ์ครัว เครื่องต้มเบียร์ ฯลฯ เพราะไม่เป็นสนิม ไม่ปนเปื้อน และทำความสะอาดง่าย เครื่องครัวและของใช้ในบ้าน เช่น ซิงค์ล้างจาน หม้อ กระทะ เครื่องครัวที่ต้องสัมผัสกับความร้อนหรือความชื้น อุตสาหกรรมยานยนต์ ใช้ในชิ้นส่วนที่ต้องทนความร้อนและการกัดกร่อน เช่น ท่อไอเสีย หรือกรอบโครงสร้างภายใน อุตสาหกรรมก่อสร้าง
ใช้ในโครงสร้างราวบันได ราวกันตก ประตู หน้าต่าง หรือแม้แต่แผงตกแต่งผนัง เครื่องมือแพทย์ เช่น อุปกรณ์ผ่าตัด ถาดใส่เครื่องมือ เครื่องมือปลอดเชื้อ ฯลฯ

ข้อดีของสแตนเลส

  • อายุการใช้งานยาวนาน
  • ไม่เกิดสนิมง่ายแม้อยู่ในสภาพแวดล้อมชื้น
  • ดูแลรักษาง่าย ไม่ต้องทาสีหรือเคลือบผิวเพิ่มเติม
  • สวยงาม เงางาม ดูมีระดับ
  • รีไซเคิลได้ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

แม้จะมีคุณสมบัติที่ดี แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ไม่ทนต่อกรดเกลือหรือสารเคมีรุนแรง เช่น กรดไฮโดรคลอริก หรือน้ำทะเลโดยตรง หากต้องใช้งานในพื้นที่ที่มีเกลือหรือไอเค็มสูง ควรพิจารณาสแตนเลส 316

  • ราคาสูงกว่าสแตนเลสเกรดต่ำ (เช่น 201)
    เพราะมีส่วนผสมของนิกเกิลในปริมาณสูง ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น
  • มีโอกาสเกิดสนิมผิว (Tea Staining)
    หากใช้งานภายนอกในบริเวณริมทะเล หรือไม่ทำความสะอาดเป็นประจำ

วิธีดูแลรักษาสแตนเลส 304

แม้จะทนทานต่อการเกิดสนิม แต่การดูแลอย่างเหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งานได้ยิ่งขึ้น: เช็ดทำความสะอาดสม่ำเสมอ ด้วยผ้าแห้งหรือผ้าชุบน้ำสะอาด และหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรง หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารคลอไรด์หรือเกลือ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีไอน้ำทะเล หรือสารเคมีทำความสะอาดที่มีคลอรีน ใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะสำหรับสแตนเลส เช่น สเปรย์เคลือบป้องกันสนิม หรือครีมทำความสะอาดสแตนเลส

คือวัสดุที่รวมข้อดีไว้เกือบทุกด้าน ทั้งความทนทาน ความสวยงาม และใช้งานได้หลากหลาย แม้จะมีราคาสูงกว่าสแตนเลสเกรดอื่นบ้าง แต่ด้วยอายุการใช้งานและความคุ้มค่าในระยะยาว ทำให้เป็นวัสดุที่เหมาะสำหรับทั้งงานเชิงพาณิชย์และใช้ภายในบ้าน การเลือกใช้  อย่างถูกต้อง และดูแลอย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณได้ประโยชน์สูงสุดจากวัสดุคุณภาพนี้ ทั้งในด้านการใช้งานและความสวยงาม

กระบวนการผลิตสแตนเลส 304

  • การผลิต ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงและกระบวนการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด เพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานอุตสาหกรรม สรุปขั้นตอนการผลิตคร่าวๆ ได้ดังนี้:
  • การหลอมโลหะ (Melting):
    เริ่มจากการผสมวัตถุดิบหลัก ได้แก่ เหล็ก โครเมียม นิกเกิล และธาตุอื่นๆ ลงในเตาหลอมที่อุณหภูมิสูง
  • การหล่อ (Casting):
    หล่อโลหะเหลวที่ได้ให้เป็นแท่ง (Ingot) หรือแผ่น (Slab) ตามการใช้งาน
  • การขึ้นรูป (Hot & Cold Rolling):
    นำวัสดุที่หล่อได้ไปรีดให้บางลงเพื่อเป็นแผ่น คอยล์ หรือท่อ ตามความต้องการ
  • การอบคืนตัว (Annealing):
    ให้ความร้อนเพื่อปรับโครงสร้างโลหะให้แข็งแรง และลดความเปราะ
  • การดองกรด (Pickling):
    ใช้กรดช่วยล้างคราบออกไซด์หรือคราบสนิมที่อาจเกิดขึ้นจากการรีด
  • การปรับผิว (Finishing):
    เช่น ขัดเงา พ่นทราย หรือแปรงลาย เพื่อให้ได้ผิวสแตนเลสแบบต่างๆ เช่น 2B, BA, HL, Mirror Finish

มาตรฐานการตรวจสอบคุณภาพ

สแตนเลส 304 ที่ได้มาตรฐานจะต้องผ่านการตรวจสอบหลายด้าน:

การวิเคราะห์ส่วนผสมเคมี (Chemical Composition Test)

การทดสอบความแข็งแรง (Tensile Strength Test)

การทดสอบความหนาและความเรียบของแผ่น

การทดสอบการต้านทานการกัดกร่อน (Corrosion Test)

การตรวจสอบด้วย X-ray Fluorescence (XRF) – เพื่อตรวจสอบเกรดสแตนเลสแบบไม่ทำลาย

เทรนด์การใช้งาน ในปัจจุบัน

ในยุคที่คนให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ความสะอาด และดีไซน์ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหลายวงการ:

  • สถาปัตยกรรมยุคใหม่ – เน้นงานโลหะโชว์ผิว เงางาม ดูล้ำสมัย
  • เทคโนโลยีสีเคลือบผิว – เช่น สแตนเลสสีทอง สีดำ สีโรสโกลด์ ที่ยังคงคุณสมบัติป้องกันสนิมได้
  • งาน DIY และตกแต่งภายใน – เช่น โต๊ะบาร์ ชั้นวาง ราวตากผ้า ด้วยรูปแบบที่ทันสมัยและทนทาน
  • นโยบายอุตสาหกรรมสีเขียว – เนื่องจากสแตนเลสสามารถรีไซเคิลได้ 100%

ข้อควรระวังในการเลือกซื้อ

ระวังของปลอม หรือเกรด 201 ที่แอบอ้างว่าเป็น 304 บางร้านใช้การเคลือบผิวให้ดูเงาเหมือน 304 แต่จริงๆ เป็น 201 ซึ่งไม่ทนสนิมเท่า อย่าตัดสินจากราคาถูกอย่างเดียว เพราะ  ที่ได้มาตรฐานต้องมีต้นทุนวัสดุสูง สอบถามใบรับรอง (Mill Certificate) เพื่อยืนยันว่าเป็น 304 แท้ และผ่านการตรวจสอบจากโรงงาน หากใช้งานภายนอก/ใกล้ทะเล อาจพิจารณาใช้ 316 ซึ่งทนไอเค็มและคลอไรด์ได้ดีกว่า สแตนเลส 304

เป็นวัสดุที่โดดเด่นในหลายด้าน ทั้งความสวยงาม ความทนทานต่อการกัดกร่อน ความง่ายในการขึ้นรูปและเชื่อม ทำให้ได้รับความนิยมในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความสะอาด ความปลอดภัย และความยั่งยืนในระยะยาว การเลือกใช้  อย่างถูกต้อง ควบคู่กับการดูแลรักษาที่เหมาะสม และความเข้าใจในข้อจำกัดของวัสดุ จะช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างคุ้มค่าในทุกมิติ https://topdogcbd.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *